Friday 14 June 2013

จะเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต้องทำยังไง และควรรู้อะไรบ้าง

(หมายเหุตก่อนอ่าน - โพสต์นี้ไม่เกี่ยวกับการวิเคราะห์หุ้น หาหุ้นดี หุ้นเด่น จับจังหวะซื้อขาย อะไรพวกนั้น เพราะมือใหม่ยังไม่มีปัญญาจะเขียนอะไรแบบนั้นในตอนนี้)

วันนี้ตลาดหุ้นเขียวไสว การลงทุนในหุ้นจะดูดีมีอนาคตในสายตาประชาชนขึ้นมาทันที ^_^ เราก็เขียนเรื่องที่เกี่ยวกับการเริ่มต้นซื้อขายหุ้นดีกว่า โดยจะเขียนเกี่ยวกับสิ่งที่คนที่จะซื้อขายหุ้นทุกคนต้องทำถึงจะซื้อขายได้ นั่นก็คือ การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นนั่นเอง


จะเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต้องทำยังไงบ้าง


ขั้นตอนการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรพัย์
  1. การเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์นั้น ต้องเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ หรือที่เรียกกันว่า โบรกเกอร์ (ดูรายชื่อโบรกเกอร์ที่ให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ได้ ที่นี่ โดยดูอันที่มีเครื่องหมายถูกตรงคอลัมน์ "หุ้น") สนใจโบรกเกอร์รายไหนก็ติดต่อโบรกเกอร์รายนั้น จะติดต่อออนไลน์หรือทางโทรศัพท์หรือที่สำนักงานสาขาของโบรกเกอร์โดยตรงก็ได้

    • เมื่อติดต่อโบรกเกอร์แล้ว โบรกเกอร์ก็จะให้กรอกเอกสารขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ และหากต้องการใช้บริการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ (ATS) ก็จะต้องกรอกใบคำขอให้หักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ ซึ่งจะมีใบตัวอย่างลายเซ็นที่เหมือนกับลายเซ็นที่เราให้ไว้กับทางธนาคาร รวมทั้งส่งหลักฐานประกอบอื่น ๆ โดยทั่วไปเอกสารที่ต้องใช้ก็จะมี

      • สำเนาบัตรประชาชน
      • สำเนาทะเบียนบ้าน
      • Statement โดยทั่วไปก็จะไปสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน (เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์) แต่เคยเจอกรณีที่เงินหมุนเวียนในบัญชีมีไม่มาก เพราะเอาไปลงทุนพวกกองทุน ทาง บล. ก็ให้ใช้ Print Out ของหน้า Statement กองทุนประกอบไปด้วย
      • ในกรณีทีต้องการให้หักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ (ATS) ก็จะต้องใช้สำเนาหน้าแรกของสมุดบัญชีเงินฝากที่ต้องการให้หักบัญชีด้วย

      ป.ล. ATS คือการที่อนุญาตให้โบรกเกอร์ตัดบัญชีเงินฝากของเราอัตโนมัติในกรณีที่ต้องจ่ายเงิน เช่น วางมัดจำ หรือซื้อขายออนไลน์ เราจะต้องกรอกแบบฟอร์มยินยอมให้หักบัญชี พร้อมตัวอย่างลายเซ็นที่เหมือนกับลายเซ็นที่เราเซ็นกับสมุดคู่ฝาก ซึ่งทางโบรกเกอร์ก็จะต้องส่งแบบฟอร์มที่เรากรอกแล้ว พร้อมทั้งตัวอย่างลายเซ็นให้ธนาคารเจ้าของบัญชีอนุมัติต่อไป

      1. หลังจากได้รับเอกสารแล้ว โบรกเกอร์ก็จะตรวจสอบเอกสาร และถ้าเรียบร้อยดีก็จะจัดการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นให้ (แต่ส่วนของการขอหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ จะต้องรอธนาคารเจ้าของบัญชีอนุมัติก่อน ซึ่งอาจะใช้เวลามากน้อยแล้วแต่ธนาคาร) ถ้าเป็นการซื้อขายออนไลน์ บางเจ้าก็จะให้ตั้ง Username กับ Password แบบชั่วคราวตั้งแต่ตอนสมัครเปิดบัญชี แต่บางเจ้าก็แจ้ง Username กับ Password ที่ใช้เข้าระบบครั้งแรกมาให้ทีหลัง (ส่วนแบบที่ไม่ทำออนไลน์ คือที่เวลาซื้อขายใช้วิธีโทรติดต่อมาร์เก็ตติ้งให้ทำรายการให้นี่ ไม่แน่ใจว่ามีอะไรอื่นต่างกันหรือเปล่านะเพราะเคยใช้แต่ออนไลน์)
      ขั้นตอนข้างต้นเป็นขั้นตอนคร่าว ๆ จากประสบการณ์ในการเปิดบัญชีซื้อขายที่ผ่านมา แต่รายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละเจ้าอาจจะต่างกัน ดังนั้น ก็ควรจะตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ของโบรกเกอร์ที่เราจะขอเปิดบัญชีอีกที ทีนี้เวลาขอเปิดบัญชีนี่มันก็จะให้ระบุด้วยว่าต้องการเปิดบัญชีแบบไหนบ้าง ซึ่งบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ (ที่เรารู้จัก) ก็จะมีดังนี้
      • บัญชีเงินสด (Cash Account)
        บัญชีประเภทนี้ ทางโบรกเกอร์จะกำหนดวงเงินสูงสุดที่เราจะซื้อหุ้นได้โดยดูจาก Statement ที่เราให้ไป แล้วก่อนซื้อหุ้น เราก็ต้องวางเงินสด (คือโอนเข้าบัญชีโบรกเกอร์ หรือส่งคำร้องออนไลน์ให้ตัดบัญชี ATS) เป็นจำนวนเงิน 20% ของวงเงินที่เราต้องการ ซึ่งต้องไม่เกินวงเงินสูงสุดที่โบรกเกอร์ให้ ตัวอย่างเช่น โบรกเกอร์ให้วงเงินสูงสุดในการซื้อขาย 500,000 บาท เรากะว่าเราจะซื้อขายอยู่ในวงเงิน 100,000 บาท เราก็จะต้องวางเงิน 20,000 บาท (20% ของ 100,000) เพื่อที่จะได้เครดิตวงเงิน 100,000 บาท

        สำหรับการจ่ายเงินเวลาที่ซื้อหุ้น (รวมทั้งการโอนเงินให้เราเวลาที่เราขายหุ้น) ก็จะเป็น T+3 หมายความว่า Due date จะเป็นอีก 3 วันทำการถัดไป (วันทำการ หมายถึง วันทำการของตลาดหลักทรัพย์) เช่น สมมติว่าว่านี้ (ศุกร์ 14 มิ.ย.) เราซื้อหุ้นไป 10,000 บาท โบรกเกอร์จะตัดบัญชี ATS ของเรา 10,000 บาทในวันพุธที่ 19 มิ.ย. (วันที่ 14,15 เป็นวันเสาร์อาทิตย์ ไม่ใช่วันทำการ ดังนั้น 3 วันทำการ คือ 17, 18, 19) และถ้าเราขายหุ้น เราก็จะได้เงินในอีก T+3 วันเช่นกัน

        ถ้าถึงเวลาตัดบัญชีแล้วไม่มีให้ตัดจะเป็นยังไง? ที่เคยรู้มาก็คือ มีค่าปรับ.. น่าจะเป็นรายวัน (ไม่เยอะ) แล้วก็ซื้อหุ้นเพิ่มไม่ได้จนกว่าจะเคลียร์ส่วนที่ค้างก่อน

        บัญชีที่ใช้อยู่เป็นหลักก็คือบัญชีประเภทนี้แหละ เพราะสะดวก ไมต้องวางเงินเต็มจำนวนที่คิดจะซื้อขาย คิดว่าโดยมากก็น่าจะใช้บัญชีประเภทนี้กัน

      • บัญชีแคชบาลานซ์ (Cash Balance Account)
        บัญชีประเภทนี้เป็นแบบ Pre-paid คือไม่มีเครดิตวงเงิน จะซื้อเท่าไรก็ต้องวางเงินไปก่อนเท่านั้น คิดจะซื้อในวงเงิน 100,000 บาท ก็ต้องโอนเงินเข้าไป 100,000 บาทเต็ม ๆ

        ถึงแม้ปรกติจะใช้บัญชีเงินสด แต่อาจจะเปิดบัญชีแคชบาลานซ์ทิ้งเอาไว้ด้วยโดยที่ยังไม่ต้องวางเงินก็ได้ ทั้งนี้ เพราะมันจะมีหุ้นที่มีสภาพการซื้อขายผิดปรกติเข้าข่ายที่ กลต. กำหนดไว้ กลายเป็นหุ้นที่ "ติดแคชบาลานซ์" คือ ให้ซื้อขายได้ผ่านบัญชีแคชบาลานซ์เท่านั้น จะซื้อขายด้วยบัญชีเงินสดที่เคลียร์เงินกันอีก 3 วันข้างหน้าไม่ได้ แต่ถ้าคิดว่าไง ๆ ก็จะไม่เล่นหุ้นที่ติดแคชบาลานซ์ จะไม่เปิดบัญชีนี้ไว้ด้วยก็ไม่เป็นไร

      • บัญชีเครดิตบาลานซ์ (Credit Balance Account)
        บัญชีนี้ก็คือประเภทที่เรียก ๆ กันว่าบัญชีมาร์จิน (Margin) ที่พูด ๆ กันว่ากู้มาร์จินมาเล่นหุ้น มันคือบัญชีที่ให้เรากู้เงินโบรกเกอร์มาเล่นหุ้นได้ (มีดอกเบี้ยนะ) โดยใช้เงินสดหรือหุ้นเป็นหลักประกัน ซึ่งมันจะมีหลักเกณฑ์อื่น ๆ ยิบย่อยในการกู้อีก เป็นต้นว่า หุ้นอะไรบ้างที่ใช้มาร์จินได้ และใช้ได้กี่เปอร์เซ็นต์ หรือ ถ้าราคาหุ้นที่ถืออยู่ตกมาก ๆ จนเกินอัตราที่กำหนด ก็จะต้องวางเงินประกันเพิ่ม ถ้าไม่มีเงิน ก็จะโดนบังคับขายหุ้นที่มี (ที่เรียก ๆ กันว่า Forced Sell) อันนี้ต้องถามพวกเล่นเก็งกำไรใจถึง ถ้าอยากรู้รายละเอียด เพราะไม่เคยเปิดบัญชีนี้ไว้เหมือนกันและไม่คิดจะทำ.... มันเสี่ยงมาก ไม่กล้าพอ
      (ข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีประเภทต่าง ๆ อาศัยข้อมูลประกอบจาก http://www.set.or.th/onlineinvestor/Online_Trading_guidebook_s.pdf)

      (มือใหม่) ควรรู้อะไรบ้าง ?

      หลังจากรู้แล้วว่าจะเปิดบัญชียังไง ทีนี้มาพูดถึงว่า อะไรยิบย่อยที่ควรจะรู้บ้าง... (ส่วนมากสำหรับมือใหม่)  บางอย่างมันก็มาจากประสบการณ์ตัวเองแหละ -_-" (อาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่คนอื่น ๆ เคยเจอมาบ้างก็ได้)
      • โบรกเกอร์แต่ละรายให้บริการเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?
        • เปอร์เซ็นต์ค่าคอมมิชชันสำหรับการซื้อขายแต่ละประเภท (ออนไลน์ - บัญชีเงินสด, ออนไลน์ - บัญชีแคชบาลานซ์ หรือผ่านมาร์เก็ตติ้ง) เท่ากันทุกเจ้า
        • บทวิเคราะห์บนเวบไซต์ของโบรกเกอร์ บางรายก็ให้คนทั่วไปเข้าไปดูได้ บางรายต้องเปิดบัญชีซื้อขายจึงจะมีรหัสผ่านเข้าไปดูได้ และแต่ละโบรกเกอร์ก็จะมีบทวิเคราะห์สำหรับหุ้นบางส่วนในตลาดเท่านั้น ไม่ใช่ทุกตัว

        • ในการซื้อขายออนไลน์ นอกจากโปรแกรม Streaming ของ Settrade ที่เป็นโปรแกรมพื้นฐานแล้ว แต่ละโบรกเกอร์อาจจะมีโปรแกรมซื้อขายที่พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งก็จะมีจุดเด่นต่างกันไป นอกจากนี้ โบรกเกอร์ก็อาจจะมี Access โปรแกรมเสริมที่ให้ข้อมูลต่าง ๆ ให้ โดยแต่ละรายก็อาจให้โปรแกรมที่ต่างกัน (ซึ่งปรกติถ้าเราจะใช้เอง ไม่ได้มี Access จากโบรกเกอร์ เราต้องเสียเงินสมัคร)

      • ถึงแม้ว่าทุกโบรกเกอร์คิดค่าเปอร์เซ็นต์คอมมิชชันเท่ากัน แต่ส่วนมากก็จะมีกำหนดขั้นต่ำต่อวัน  เช่น บางเจ้าอาจจะบอกว่ามูลค่าซื้อขายขั้นต่ำต่อวัน 20,000 บาท ก็หมายถึงว่าถ้าวันไหนเรามีรายการซื้อขาย แต่ไม่ถึง 20,000 บาท เราก็ต้องจ่ายค่าคอมมิชชันเท่ากับซื้อขาย 20,000 บาทอยู่ดี อย่างไรก็ตาม ก็จะมีโบรกเกอร์บางรายที่ไม่กำหนดขั้นต่ำ ซึ่งสำหรับคนที่เงินเยอะ ซื้อขายแต่ละ Lot หลายหมื่น จะมีหรือไม่มีขั้นต่ำก็ไม่ใช่ปัญหา แต่มือใหม่ที่พอร์ตเล็กเงินไม่เยอะหรือยังไม่อยากลงเงินมาก วันไหนซื้อขายก็ไม่กี่ตังค์ เคาะซื้อทีนึงก็น่ารัก ๆ รายการละ 5,000 บาท อะไรอย่างนี้ การไม่มีค่าคอมมิชชันขั้นต่ำก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่งั้นต้นทุนค่าคอมมันจะสูง หรือไม่ก็จะต้องมีความกดดันเพิ่มจากการที่ต้องพยายามทำรายการให้ถึงขั้นต่ำในวันที่จะซื้อจะขาย

      • ไม่ว่าจะใช้บัญชีประเภทไหน ก็ต้องโอนเงินก่อนถึงจะทำรายการได้ ไม่งั้นส่งคำสั่งไปมันก็ Cancelled อยูดี (ข้อนี้สำคัญ ถ้าจะซื้อขาย ก็ควรวางเงินก่อนล่วงหน้า เพราะหลังจากโอนเข้าไปแล้วนี่ทางโบรกเกอร์ก็ต้องใช้เวลา process ก่อน อย่างเร็วก็อาจจะครึ่งวัน ไม่ใช่วางปุ๊บซื้อได้ปั๊บเสมอไป)

      • หลัง ๆ เห็นโปรโมชันของโบรกเกอร์แข่งกัน มีของแถมตอนเปิดบัญชี รวมทั้งมีของแถมเพิ่มอีกหากซื้อขายได้ตามยอดภายในระยะเวลาที่กำหนด จริง ๆ ของแถมคือของแถม ไม่ควรเอามาเป็นตัวตั้งในการเลือกโบรกเกอร์ รวมถึงการเริ่มซื้อขาย ควรจะเริ่มซื้อขายในจังหวะที่ควรซื้อมากกว่าซื้อขายเพราะอยู่ในช่วงเวลาที่จะได้ของแถม เพราะถ้าขาดทุนเนื่องจากจังหวะซื้อขายไม่ดี มันจะไม่คุ้มเลย เพราะของแถมมูลค่าไม่ได้มากอะไร

      • สามารถเปิดบัญชีซื้อขายและซื้อขายหุ้นกับโบรกเกอร์หลายรายได้ในเวลาเดียวกัน ไม่มีปัญหาอะไร

      • รายย่อย เงินน้อย พอร์ตเล็ก อย่าหวังพึ่งมาร์เก็ตติงในเชิงข้อมูลหรือคำแนะนำมากนัก เพราะส่วนมากมาร์เก็ตติงที่ดูแลรายย่อยแบบยิบย่อย ก็มักจะค่อนข้างใหม่ ประสบการณ์ไม่เยอะ ศึกษาข้อมูลเองจะดีกว่า (มาร์เก็ตติงเราตอนซื้อขายครั้งแรก เรายังไม่วางเงิน เพราะไม่รู้ว่ามันต้องวางก่อน ส่งคำสั่งไปแล้วโดน Cancelled 2-3 คำสั่ง ต้องโทรไปถามถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งที่ปรกติเขาจะเห็นการทำรายการของเรา และควรจะบอก ถ้ามันมีอะไรผิดปรกติ) แต่ถ้าโชคดีได้มาร์เก็ตติงโอเคก็ดีไป

      ตอนนี้คิดออกแค่นี้แหละ เอาเข้าจริงโพสต์นี้ยาวและใช้เวลามากกว่าที่คาดมาก อ่านมาจนถึงได้ก็ขอขอบคุณหลาย ๆ ค่า... ^_^

      No comments:

      Post a Comment